logo-heading

ย้อนกลับไปช่วงก่อนซีซั่น 2023-24 จะเปิดฉากขึ้น เชื่อว่าหลายๆ คนคงมอง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต่างออกไปจากปีก่อนๆ เหตุผลสำคัญคือการปล่อยตัว จู๊ด เบลลิงแฮม ไปให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวมหาศาล

แน่นอนว่านี่คือวิถีทางของ ดอร์ทมุนด์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซื้อมาปั้นทำผลงานได้ดีก็ขายออกไปพร้อมกำไรที่งอกงาม

ซึ่งกับฤดูกาลนี้ทัพ “เสือเหลือง” ทำผลงานได้ผิดจากที่คาดหวังไปมากพอสมควร พร้อมสตอรี่เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่พวกเขาคว้าตั๋วไปลุยนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก

ซีซั่นที่เกินฝันของ ดอร์ทมุนด์ เป็นอย่างไรบ้าง ขอบสนาม จะพาไปพูดถึงกันครับ

ซัมเมอร์แห่งการเปลี่ยนแปลง

ช่วงตลาดซัมเมอร์ 2023 ที่ผ่านมานอกจาก ดอร์ทมุนด์ ต้องเสียนักเตะคนสำคัญไปถึง  2 รายพร้อมๆ 

คนแรกอย่างที่กล่าวไปข้างต้นก็คือ จู๊ด เบลลิงแฮม กองกลางคนสำคัญที่จะบอกว่าเป็น เดอะ แบก ในแผงกองกลางก็คงจะไม่ได้มากจนเกินไป และแน่นอนการเสีย จู๊ด ไปย่อมกลายเป็นช่องโหว่ที่ยากต่อการหาใครสักคนมาทดแทน

อีกรายคือฟูลแบ็คอย่าง ราฟาเอล เกร์เรโร่ ที่หมดสัญญาแล้วย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งในเคสนี้ถือว่าเสียไม่น้อย เพราะทีมต้องเสียแบ็คซ้ายตัวหลัก แถมสามารถยืดหยุ่นขยับไปเล่นตรงกลางได้ด้วย

ซึ่งการขยับตัวหลังเสียแข้งตัวหลักไปในตำแหน่งแบ็คซ้ายพวกเขาไปดึงตัว รามี่ เบนเซบายนี มาจาก โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ส่วนตรงกลางไปสอย มาเซล ซาบิตเซอร์ มาจาก บาเยิร์น มิวนิค รวมไปถึง เฟลิกซ์ เอ็นเมชา พร้อมเติมแต่งแดนหน้าด้วย นิคลาส ฟูลล์ครูก

ผลงานไม่แย่ แค่ไม่สม่ำเสมอ

ถ้ามองไปที่ภาพรวมของ ดอร์ทมุนด์ ในฤดูกาลต้องบอกว่าไม่ได้แย่อะไรเลย เพียงแค่ขาดความสม่ำเสมอเพียงเท่านั้น

ในเกมลีกพวกเขาแพ้ไปเพียง 6 เกม น้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของศึกบุนเดสลีกา เป็นรองเพียง เลเวอร์คูเซ่น ที่ยังคงไร้พ่ายอยู่ในตอนนี้ ทว่าดันหลุดเสมอเยอะไปหน่อยมากถึง 9 เกม ทำให้รั้งอันดับ 5 อยู่ ณ ปัจจุบัน

ปัญหาในหลายๆ เกมของพวกเขาคืออาการแผ่วปลายโดนคู่แข่งไล่ตามตีเสมอ หรือแซงชนะในช่วงท้ายเกม ตัวอย่างเช่นในวันเปิดบ้านเสมอ ไฮเดนไฮม์ 2-2, เสมอ สตุ๊ดการ์ท 2-2, โดน ฮอฟเฟ่นไฮม์ ยิงแซง 2-3 หรือ เสมอ เลเวอร์คูเซ่น 1-1

อย่างไรก็ตามปัญหาของพวกเขาก็ถูกตามแก้มาด้วยนักเตะระดับคุณภาพที่สามารถยกระดับทีมได้ทั้ง เจดอน ซานโช่ หรือ เอียน มัตเซ่น 2 ดีลยืมตัวในช่วงเดือนมกราคม ในการเข้ามาเป็นทางเลือกที่ดีทั้งเกมรับ และเกมรุก

ในเคสของ มัตเซ่น โดดเด่นทั้งเกมรุก และเกมรับ จนแฟนบอลบางคนเรียกร้องอยากให้ทีมดึงตัวมาร่วมทีมถาวร เรตติ้งในภาพรวมจาก Whoscore ได้สูงถึง 7 คะแนน ส่วน ซานโช่ กลายเป็นออปชั่นแรกๆ ที่ เอดิน แทร์ซิช เลือกใช้งาน ก่อนตอบแทนด้วยความยอดเยี่ยมโดยเฉพาะสถิติการเลี้ยงบอล ในแชมเปี้ยนส์ลีก

สตอรี่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ถึงรอบชิงฯ แชมเปี้ยนส์ลีก

ม้ามืดเวทียุโรป

ตัดภาพมาในเวทียุโรป ดอร์ทมุนด์ กลายเป็นหนึ่งในทีมที่ถูกจับไปอยู่ในกรุ๊ปออฟเดทอย่างแท้จริงประกอบไปด้วย เปแอสเช, นิวคาสเซิ่ล และ เอซี มิลาน และยิ่งเกมแรกบุกไปแพ้ถึง ปารีส ทำให้สถานการณ์เปิดหัวไม่สวยเอาเสียเลย

 

ทว่าจากนั้น “เสือเหลือง” เร่งเครื่องพิสูจน์ความเป็นของแท้เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไป-กลับ เปิดบ้านเสมอ มิลาน ก่อนบุกไปคว้าชัยถึงอิตาลี และปิดท้ายด้วยเปิดบ้านเสมอ เปแอสเช ซึ่งก็เพียงพอแล้วต่อการเข้ารอบน็อคเอาท์ แถมจบในฐานะแชมป์กลุ่มอีกด้วย

รอบ 16 ทีมสุดท้ายงานอาจไม่หนักเท่าไหร่โคจรมาพบกับ พีเอสวี ก่อนเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-1 

ส่วนรอบก่อนรองชนะเลิศจับมาเจอ แอตเลติโก มาดริด ทีมที่เก๋าเกมในบอลยุโรป และนัดแรกพวกเขาก็สะดุดบุกไปแพ้มาก่อน 2-1 ทว่าพอกลับมาเล่นในบ้านแฟนบอลเต็มสนาม 100% พวกเขาฮึดพลังพลิกสถานการณ์เอาชนะไป 4-2 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

การโคจรมาดวลกับ เปแอสเช อีกครั้งในรอบตัดเชือก หลายคนอาจมองว่าพวกเขาเป็นรองไม่สามารถชนะได้เลยในรอบแบ่งกลุ่ม แต่พอลงไปเล่นจริงในสนาม วินัยเกมรับ ใช้โอกาสเกมรุกไม่เปลือง เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ ดอร์ทมุนด์ ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จด้วยสกอร์รวม 2-0

เอดิน แทร์ซิช เบื้องหลังคนสำคัญ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนสำคัญในการพา ดอร์ทมุนด์ ผ่านเข้ารอบชิงฯ แชมเปี้ยนส์ลีก คือการมี เอดิน แทร์ซิช โค้ชผู้เป็นเบื้องหลัง ที่คอยๆ ปรับจูนทีม นำประสบการณ์ที่มีมาใช้ในสนาม

ย้อนกลับไป แทร์ซิช คือแฟนบอลตัวยงของ ดอร์ทมุนด์ มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เข้าไปเชียร์ในสนาม จนเติบโตขึ้นมาทำงานในสายฟุตบอลเริ่มต้น

แทร์ซิช มีประสบการณ์การทำงานเบื้องหลัง โดยเฉพาะกับนักเตะเยาวชนมาไม่น้อย เคยทำงานเป็นแมวมองมาก่อน พร้อมออกไปเก็บเกี่ยวเลเวลมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้ไปเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับ สลาเวน บิลิช ที่ เวสต์แฮม ช่วงปี 2015-2017

นายใหญ่วัย 41 ปี ได้รับ การรับรองจากยูฟ่าโปรไลเซนส์หลังจากสำเร็จการศึกษาหลักสูตรระยะเวลา 18 เดือนของสมาคมฟุตบอลในอังกฤษ รุ่นเดียวกับ เกรแฮม พ็อตเตอร์ ก่อนได้รับงานใหญ่คุมทัพ ดอร์ทมุนด์ แบบขัดตาทัพแทนที่ ลูเซียง ฟาร์ฟ ที่ถูกไล่ออก

ช่วงเวลาสั้นๆ กับ ดอร์ทมุนด์ ในตอนนั้นเขาพาทีมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล มาครองได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้คุมทีมต่อ หันไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคแทน

จนกระทั่งซัมเมอร์ 2022 ดอร์ทมุนด์ ได้แต่งตั้ง แทร์ซิส คุมทีมแบบเต็มตัวอีกครั้ง พร้อมสไตล์ฟุตบอลที่คุ้นเคย การเล่นเกมรุกที่ดุดัน เปิดหน้าพร้อมสู้กับทุกทีม แต่มันก็แลกมาด้วยข้อเสียบางอย่างคือเรื่องของเกมรับ

แต่กระนั้นตอนนี้ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่สวยงามจากเป็นผู้ช่วย ลูเซียง ฟาร์ฟ สู่การคุมทีมคว้าแชมป์บอลถ้วย วันนี้ แทร์ซิช พัฒนาไปอีกขั้นคือการพา ดอร์ทมุนด์ กรุยทางสู่รอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก

สตอรี่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ถึงรอบชิงฯ แชมเปี้ยนส์ลีก

ต่อเติมฝัน มาร์โค รอยส์

ปิดท้ายกับเรื่องราวของ มาร์โค รอยส์ เพราะนี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาคือ ดอร์ทมุนด์ สโมสรที่เขาหลงรักมาตั้งแต่เด็ก แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะกาลเวลาต้องโบกมือลากันอยู่ดี

ความรักของ รอยส์ ที่มีให้ ดอร์ทมุนด์ นั้นมีมากจริงๆ ตอนอายุ 5 ขวบ รอยส์ ได้เข้าร่วมอะคาเดมี่สโมสร Post SV Dortmund จากนั้นอีก 2 ปี ได้ย้ายไปอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ ทีมรักของเขาสมใจอยาก ก่อนอยู่ร่วมกับทีมนานถึง 10 ปี 

ทว่าในช่วงปี 2006 รอยส์ ถูกประเมินว่าร่างกายผอมเกินไป และไม่น่าพัฒนาไปได้มากกว่านี้ จนเป็นที่มาของการแยกทาง ก่อนที่เจ้าตัวจะย้ายไปร่วททัพ Rot Weiss Ahlen ก่อนกลายเป็นตัวหลักลงเล่นในลีกรองจนผลงานไปเข้าตา โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ดึงไปร่วมทีมเมื่อปี 2009 

จากผลงานที่ดีกับ กลัดบัค ตลอด 3 ปีที่ร่วมชายคา ดอร์ทมุนด์ กลับมาอีกครั้งเพื่อดึง รอยส์ กลับไปร่วมทีม แน่นอนเขาไม่ยอมพลาดโอกาสครั้งสำคัญ พร้อมย้ายร่วมทัพ “เสือเหลือง” แบบไม่ลังเล 

จากนั้นทุกอย่างคือตำนานตลอดระยะเวลา 12 ปี รอยส์ ผ่านทุกเหตุการณ์ทั้งสมหวัง และผิดหวัง แต่เขายังคงอยู่กับทีม เลือกปฏิเสธทีมใหญ่ที่การันตีความสำเร็จ เพื่ออยู่กับ ดอร์มุนด์ ต่อไป

เกมสุดท้ายของ รอยส์ กับ ดอร์ทมุนด์ คือเกมแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ เพื่อไล่ล่าความฝันชิ้นสุดท้าย ต่อเติมให้ฉากจบมันสมบูรณ์

ซึ่งถ้ามันสำเร็จคงเป็นฤดูกาลที่สวยงามของทั้ง ดอร์ทมุนด์ มาร์โค รอยส์ และแฟนบอลทุกๆ คน

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline